เทศน์บนศาลา

ดับไฟกิเลส

๒๙ ส.ค. ๒๕๔๓

 

ดับไฟกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟ ไฟอยู่ในหัวใจ ไฟเร่าร้อน กิเลสนี้เปรียบเหมือนไฟนะ ไฟนี้มันต้องทำให้พลังงานเกิดขึ้นในหัวใจ ใจเวลาเกิดมา กิเลสมาเกิดพร้อมกัน กิเลสเกิดมาแล้วครอบงำหัวใจอยู่ กิเลสเหมือนกับไฟ แล้วเอาน้ำของธรรมมาดับ พอให้มันเป็นไป ทำตามประสาโลกเขา

โลกเขาอยู่ในโลกของเขา เขาว่าของเขาเจริญรุ่งเรือง จนหลงตัวเอง เข้าใจผิดนะ เกิดมาแล้วคิดว่าอยู่ประสาเราชีวิตหนึ่ง หมดสิ้นไปชีวิตหนึ่งก็มีความสุขพอสมควร อยู่ไปอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มาบวชในลัทธิต่างๆ สมัยพุทธกาลก็มีนะ มีที่ว่าอยู่ไปเถอะ ๕๐๐ ชาติแล้วก็สิ้นไป สูญกันไป อยู่แล้วให้มีแต่ความสุข มีแต่โลก อยู่กับโลกเขาไปอยู่อย่างนั้น

นี่ความคิดของลัทธิ ศาสนา การสั่งสอนอย่างนั้นก็ยังมี นับประสาอะไรกับความคิดของเรา ความคิดของไฟในกิเลสไง ไฟกิเลสที่ว่าทำให้ความคิดของสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น อยู่ไปประสาวันๆ หนึ่ง ให้สิ้นสุดของชีวิตนี้ ให้หาความสุข แล้วมันได้ความสุขจริงไหมล่ะ? ไม่จริงหรอก เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่ามันไม่ใช่ความสุข

มันเป็นสิ่งที่ว่าหาไม่ได้ในโลกนี้แล้ว โลกมีเท่านั้น หาในความมีของโลกเขามีเท่านั้น ก็อาศัยกันเท่านั้นไป อาศัยกันไป อาศัยไปเฉยๆ อาศัยแบบคนจนตรอกไง คนจนตรอก คนไม่มีทางไป ก็ต้องสิ้นสุดแค่นั้น ยอมรับความจริงเท่านั้น นี่เพราะอะไร? เพราะว่าดูถูกไง สบประมาท แม้แต่ตัวเอง ดูถูกศาสนา ดูถูกคนที่จะมาสั่งสอน ดูถูกไปหมด

ความดูถูกดูแคลนนั้น มันก็ไม่ทำไป จะไปเชื่อใครก็ไม่ได้ ต้องเชื่อตัวเราเองก่อน กิเลสเป็นโลกๆ นะ เชื่อตัวเอง เชื่อความเห็นของเรา เราว่าเราฉลาด กลัวแต่คนอื่นจะมาหลอกเรา จะคิดอย่างอื่นก็ว่า โลกเขามีแต่เล่ห์เหลี่ยมกัน มันจะหลอกกัน แต่เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสที่ร้อนเผาตัวเองอยู่นี่ ไม่ได้ดูไง ถึงว่าไม่เชื่อ ไม่ยอมฟังใคร ไม่ยอมจะเป็นไป ก็เลยคิดว่าตัวเองทำอย่างนั้น จนตรอก จนมุม ใช้ชีวิตแบบไร้สาระไปวันๆ หนึ่งเท่านั้นเอง

แต่ผู้ที่เชื่อ ยอมเชื่อ ถึงว่าศรัทธา ความเชื่อ ศรัทธาเป็นสมบัติของมนุษย์นะ สมบัติของมนุษย์ในโลกนี้ ศรัทธาความเชื่อเป็นสมบัติที่มีคุณค่าที่สุด ถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ ความเชื่ออันนั้นทำให้เราออกแสวงหาไง ออกคิดออกพลิกแพลงจากความคิดเดิมของเรา คิดขึ้นมาหาทางออกได้ นี่ความเชื่อ ความเชื่ออันนั้น ความเชื่อในหลักของศาสนา เชื่อว่าจะออกจากทุกข์อันนี้ได้ มันก็ทำให้เรามีการขวนขวาย ไม่ให้มีการเอาแต่ฟืนเผาลนตัวตลอด

เผาลนตัวเอง ดูถูกตัวเอง ดูถูกชีวิต ดูถูกทุกอย่างนะ พอดูถูกขึ้นมามันก้าวเดินไปไม่ได้ ดูถูกสิ ดูถูกว่า “เราจะทำได้หรือ?” แค่นี้มันก็ดูถูก มันสบประมาทตัวเอง สบประมาทชีวิต แล้วชีวิตนี้เป็นไปไม่ได้หรอก ที่เราจะให้อยู่ในอำนาจของเรา มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโลกนี้มันมีอยู่โดยดั้งเดิม ของโลกนี้เป็นของเก่าแก่ที่มีอยู่โดยดั้งเดิม ในวัฏวนนี้มีอยู่แล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เรื่องของธรรม แล้วด้วยใจที่บริสุทธิ์อันนั้น จึงมองเห็นการเกิดไง มันยืนยันหลักฐานกันว่า ของเดิมมีอยู่ดั้งเดิม แล้วใจดวงนั้นในบุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่ว่าระลึกชาติย้อนหลังไปไม่มีที่สิ้นสุด มันถึงสลดสังเวช เพราะใจดวงนั้นเคยเป็นเคยไปมาทั้งหมด

ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังไม่ตรัสรู้นั้น เคยเป็นมา เพราะสะสมบารมีมา เป็นมาทุกอย่าง นกก็เป็น กวางก็เป็น เป็นสัตว์ แต่ในเมื่อว่าเราเป็นผู้ที่ฉลาด เราเป็นคนฉลาดไง เราเป็นคนๆ หนึ่ง ตายแล้ว แล้วก็สูญไป ใช้ชีวิตหนึ่งให้หมดไปแล้วก็สูญไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปเกิดอีก นี่มันไม่เชื่อ

ความไม่เชื่ออันนั้น สิ่งที่มันมีอยู่ก็ไม่เชื่อ โลกนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม วัฏฏะมีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วการเกิดนี้ เกิดโดยกรรม กรรมพาให้เราไปเกิดในภพชาติต่างๆ กรรมนี้พาไปเกิด ในเมื่อหัวใจนั้นมีกรรมอยู่ กรรมดีก็เป็นกรรมดี กรรมชั่วก็เป็นกรรมชั่ว

กรรมดีก็พาเกิดในที่สูงๆ หรือเกิดเป็นมนุษย์มีกรรมดีขึ้นมานี่ เกิดมาแล้วชีวิตนี้ไม่ลำเค็ญจนเกินไปนัก แต่ถ้ามีกรรมอยู่เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์เรายังไม่เท่ากัน มนุษย์เรายังมีสูงๆ ต่ำๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกันก็มีบางคราวรุ่งเรือง บางคราวตกอับ ใจของคนเป็นอย่างนั้น จิตเป็นมาอย่างนั้น มันสะสมบารมีมาอย่างนั้น

แต่ในเมื่อพอมาอยู่ในปัจจุบันเรา ความเห็นของเรามันเชื่อได้กิเลสไง เชื่อความเห็นของตัว ความเห็นของตัวหมุนไป พอหมุนไปมันกว้านเอาอะไรมาใส่เราล่ะ? มันกว้านเอาแต่ความเร่าร้อนนะ ความคิดของเรา เราคิดว่าถูก ความคิดว่าถูกนะ ถูกในความคิดของเรา มันก็เป็นความผิด ถูกทำไมเป็นความผิด? เป็นความผิด เพราะความคิดของเรา คิดแค่ชั่วหนึ่งในวงจรของความคิด ความคิดแค่คิดออกไปเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้องมันจริงตามสมมุติ แม้แต่ถูกมันก็เป็นสมมุติสัจจะ

ความที่เป็นของถูกๆ เราคิดถูก เราคิดดี ความคิดแบบนี้ ถ้ามันเทียบกับศาสนาแล้ว มันหางอึ่ง ความคิดเล็กน้อยมาก เพราะความคิดมันไม่ทะลุแทงถึงความเห็นของตัวเองได้ ปัญญาในศาสนานี้คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

กองสังขารนี้มันเป็นความคิด ความปรุง ความแต่งในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารนี้เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง มันคิดปรุงอยู่ในธรรมชาติของมัน โดยอาศัยกิเลสนี้ยุแหย่ ตะแคงแหย่ออกไป ให้ความคิดนั้นพุ่งออกไปข้างนอก แล้วเราก็คิดของเรา แม้แต่ถูกก็เป็นสมมุติสัจจะ ถึงเป็นถูกก็เป็นสิ่งที่พึ่งไม่ได้ ถ้าเป็นความคิดที่ถูกต้องนะ ความคิดที่เราคิดถูกนี่แหละ มันยังพึ่งพาไม่ได้เลย

มันถึงว่า ถ้าเราคิดผิดขึ้นมาล่ะ ความคิดผิดมันมีอยู่มากกว่าความคิดถูก ความคิดคือปัญญาของเรา คิดอะไรออกไป เราคิดออกไปแล้วเราเชื่อมั่น พอเชื่อมั่นมันสาวต่อไป ความคิดนี้สาวต่อไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วไปกว้านเอาอะไรเข้ามาในหัวใจ กว้านเอาความเร่าร้อนเข้ามาในหัวใจ เป็นอะไร? เป็นไฟ ไฟเผาลนใจออกมา นี่ถ้ามันคิดผิด แต่มันก็ไม่รู้ว่าคิดผิดคิดถูกหรอก

คนเราที่ยังมืดบอดอยู่ ไม่รู้ว่าคิดผิดคิดถูก มีแต่ความภูมิใจ มีแต่ความองอาจ มีแต่ความคิดว่าเราคิดแล้วมีความคิด มันพอใจนะ เสียพลังงานมาก... ร่างกายนี้ร้อนไปหมด ความคิดนี้เคลื่อนไหว เอาใจนี้หมุนออกไปข้างนอก มันยืนยันโดยบุคคลที่คิดนั้น ยืนยันโดยบุคคลผู้นั้นว่า มันกว้านเอาไฟมาเผาลนตัวเองจริงหรือไม่จริง จริงเพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันรู้เพราะตัวมันเอง มันวูบวาบในหัวใจ มันวูบวาบในร่างกาย นี่ไฟเผา

กิเลสคือไฟ ที่มันไปกว้านมาเผาลนหัวใจ เราก็ว่าเราเป็นคนฉลาด เราคนรอบรู้ เราจะเอาตัวเองรอดได้ โลกนี้อยู่ในกำมือของเรา โลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจของเรานะ เวลาคิดนี่ ความคิดนี้ คิดแม้แต่จะขึ้นไปทำนาบนก้อนเมฆยังคิดได้เลย บนก้อนเมฆนี่จะขึ้นไปทำนาบนก้อนเมฆ มันคิดได้ แต่มันจริงไม่จริงไม่รู้ มันคิดของมันไป มันเป็นไปได้ในความจริงนั้นไหม? นี้คือความคิดที่มันคิดไม่ถูก มันก็คิดของมันไปได้ เพราะมันเป็นนามธรรม

มันถึงกว้านเอาแต่ของเร่าร้อนมาเผาใจของตัวเอง แต่ถ้าเชื่อในหลักของศาสนา ออกบำเพ็ญ ออกประพฤติปฏิบัติ จนเราเชื่อหลักของศาสนา คนที่ออกบวช ออกบวชในหลักของศาสนา เวลาออกบวชกับอุปัชฌายะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌายะต้องบอกแน่นอน ถ้าไม่บอกกรรมฐานนี้ การบวชนั้นไม่สำเร็จ เพียงเป็นการยืนยันว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ในร่างกายเรานี้

ตะล่อมเข้ามา ให้ความคิดนี้พยายามให้อยู่ใน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อยู่ในร่างกายเรานี้ พยามยามทำใจของเรา ความคิดต่างๆ ในโลกนี้ มันเป็นไปตามประสากรรม ความคิดของโลกเขา มันหมุนไปตามโลกเขาอย่างนั้น หมุนไปแล้วกว้านเอาแต่ความ... ความจริงก็เป็นสมมุติ ความไม่จริงก็เผาลนตัวเอง มันไม่มีอะไรจริงสักอย่างหนึ่ง โลกนั้นเห็นไหม

มันเป็นเหมือนป่าใหญ่ เหมือนเราจะเข้าป่าล่าสัตว์ เราไปหาเสือในป่า เราเข้าไปในป่า ป่าใหญ่มาก เราจะกว้านหาสัตว์ เราต้องใช้ความอุตสาหะมาก เพราะมันหลบหลีกเราได้ กับเสือในกรง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เสืออยู่ในกรง เราเอาเสือในกรง ถ้ามันอยู่ในกรง ก็ในกรอบของร่างกายของเราไง ถ้าความคิดพยายามตะล่อมมาให้อยู่ในใจ ในหลักของใจ เป็นการพยายามหาหลักที่พึ่งของเราให้เจอ

ถ้าเรายังไม่เห็นใจของเรา เราก็ยังไม่เชื่อมั่นในหลักของศาสนา ถ้าเราไม่เคยเห็นใจของเรา เราก็ยังเป็นคนเหลาะแหละอยู่ในธรรมชาตินี้ ถ้าเราเห็นใจของเราไง เห็นใจของเราคือใจนี้สงบ ใจนี้สงบสัมผัสกับความจริงของเรา จากสติสัมปชัญญะ เราพยายามตะล่อมเข้าไป กำหนดอะไรก็ได้ การบำเพ็ญภาวนานี่ กำหนดในคำถาม ๔๐ ห้อง กรรมฐาน ๔๐ ห้องเห็นไหม ให้ตรงกับจริตนิสัยของแต่ละบุคคล

คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ความชอบความตรงกับจริต จริตนี้ไม่เหมือนกัน ชอบที่สงัด ชอบในป่า ชอบในเขา ชอบในป่าช้า ชอบในอะไร ความชอบของคนไม่เหมือนกัน ในป่าช้ามีความกลัว เอาความกลัวนี้เข้ามาพยายามตะล่อมใจของตัว นี่จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน

ถ้าคนบำเพ็ญขึ้นมา กำหนดอะไรก็ได้ พยายามทำใจของเราให้สงบ นี้คืออาหารของใจ นี้คือเงา คำบริกรรมนี้เกิดขึ้นมาจากใจ ใจคิดก็คิดออกไปเป็นอาการของใจ มันตื่นเงาของใจเอง ใจนี้ตื่นเงาตื่นอาการของใจ แล้วก็กว้านเอาเงาเข้ามานะ อารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นเงา เป็นแขกจรมา เป็นสิ่งที่ว่าเกิดดับ เกิดดับในหัวใจ แล้วเราก็ตื่นกับสิ่งที่เกิดดับขึ้นในหัวใจ แล้วก็มีกิเลสหลอกไปพร้อมกับความเกิดดับนั้น

กิเลสหลอกไป หลอกว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนั้นถูกต้อง สิ่งนั้นผิด นี้คือสิ่งที่กิเลสหลอก สิ่งที่กิเลสหลอกเราก็ตะครุบเงา ตะครุบเงาหนึ่ง มันไม่ใช่ของจริง เราตะครุบแต่สิ่งของที่เป็นสิ่งของไม่จริง แล้วเราก็เอาความผิดพลาดอันนั้นมาเผาลนใจของเรา มันจะจริง ไม่จริง สิ่งข้างนอกนั้นมันเป็นอยู่อย่างนั้น

โลกคือโลก โลกเป็นอยู่อย่างนั้น โลกเป็นอยู่หลักความจริง เราต่างหากไปให้ค่าของโลกเขา เราต่างหากไปฝืนหลักความจริงของโลกเขา แล้วพอเราฝืนหลักความจริงของโลกเขาแล้ว เราก็เอาความผิดพลาดอันนั้น ความฝืนดูสิ คำว่าความฝืน มันเป็นอะไร มันไม่พอใจ มันเป็นวิภวตัณหา ความปฏิเสธสิ่งต่างๆ ของโลกนั้น ไม่ยอมความจริงโลกนั้น

โลกนี้ถึงที่สุดแล้ว โลกก็เป็นโลก เราก็เป็นเรานะ ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จิตก็เป็นจิต ต่างอันต่างอิงต่อกันแล้วจะไม่ให้โทษ ให้ความบีบบี้สีไฟกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันไม่มีเลย วัฏฏะนี้เป็นวัฏฏะอยู่โดยดั้งเดิม

ใน ๓ โลกธาตุนี้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แม้แต่โลกของมนุษย์นี้ มันก็เป็นวัฏฏะอยู่โดยดั้งเดิม มันมีอยู่โดยสมบัติดั้งเดิม มีอยู่ เป็นสถานะอยู่อย่างนี้ เราต่างหากมาเสวยภพ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามาตื่นกับสิ่งนี้ มันมาตื่นกับอะไร? มาตื่นกับสิ่งที่ว่าเราสร้างบุญกุศลมา เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาถึงเป็นน้ำดับไฟ เป็นแสงสว่างจุดในที่มืดไง

เรามืดบอดโดยความเห็นของเรา ความเห็นของเรามืดบอด มืดบอดแล้วก็พยายามคิดว่าสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง สิ่งนั้นเป็นที่พึ่งเห็นไหม สิ่งที่อยู่ในโลกนี้มันจะเป็นที่พึ่งของเราได้ เป็นที่พึ่งที่อาศัย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยการดำรงชีวิต

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ปัจจัย ๔ นี้ มนุษย์ขาดไม่ได้ การหาปัจจัย ๔ ขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องอยู่อาศัยนี้ มันเป็นหน้าที่การงานของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาแล้วมีปากมีท้องต้องอาศัย เครื่องปัจจัย ๔ นี้เป็นที่อาศัยไป ยารักษาโรค อาหาร ที่อยู่อาศัย แล้วก็เสื้อผ้าอาภรณ์

เป็นพระก็เหมือนกัน พอบวชพระขึ้นมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เป็นพระเข้ามา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่าอุปัชฌายะบอกมาแล้ว ให้ตะล่อมเข้ามา อยู่ในขอบเขตของความคิดที่ว่า เราประกาศตนเป็นสงฆ์โดยสมมุติแล้ว สงฆ์โดยสมมุติเป็นนักรบที่จะออกรบ อันนั้นอย่างหนึ่ง

บริขาร ๘ เป็นสิ่งที่ว่าให้เข้ามา มันเป็นสิ่งที่ว่าเครื่องพะรุงพะรังของโลกให้น้อยลง มันขอบเขตเข้ามา ย่นเข้ามา ต้องย่นเข้ามาหาใจของเรา ถึงว่าถ้าใครพบใจของตัวเอง ผู้ใดทำจิตของตัวเองสงบได้ ทำใจของตัวเองสงบ จะเข้าใจว่า ใจนี้แหละคือเรา สิ่งต่างๆ นั้นไม่ใช่เราเลย ร่างกายสิ่งที่ได้มานี้ ได้มาเพราะบุญกุศล เกิดจากพ่อแม่ ถูกต้อง เกิดจากพ่อแม่ แล้วยังมาบวชเป็นพระ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสนั้นอีกชั้นหนึ่ง ไม่ได้บวชเป็นพระ เราเป็นผู้บำเพ็ญความเพียร ก็เหมือนกัน ต้องเอาร่างกายนี้มาไง เอาร่างกายนี้ ก็เอาใจมาพร้อมกันด้วย

ถ้าเอาร่างกายนี้มา เอาใจทิ้งไว้ที่บ้าน ทิ้งไว้ที่กุฏิ ทิ้งไว้ที่อยู่อาศัย ทิ้งไว้ในป่า ทิ้งไว้เห็นไหม มันคิดถึง มันส่งออกไปอยู่นั่น ใจนี่ ร่างกายเราอยู่นี่ แต่ใจมันคิดออกไป มันถึงหาใจของตัวเองไม่เจอ เราถึงไม่เคยเจอใจของเรา ถ้าเราจะเจอใจของเรา เจอใจของเรา เราต้องทำความสงบของใจขึ้นมาได้ ทำใจของเราให้สงบ ใจของเราทำไมไม่สงบ? จิตทำไมไม่สงบขึ้นมา? ทำไมมันฟุ้งซ่าน? ทำไมมันคิดออกไป? เพราะมันขาดเครื่องควบคุม สติสัมปชัญญะไง

สติเครื่องควบคุมใจให้สงบ เครื่องควบคุมใจเห็นไหม มีสติ ความมีสติอยู่ก็ส่งออก ความมีสติอยู่ ความคิดออกไป สตินี้เหมือนกับวิญญาณ “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” วิญญาณการรับรู้ไง เวลากระทบเห็นไหม ตากระทบรูป ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้ สักแต่ว่าเห็น

เราเคยเห็นรูปภาพต่างๆ เห็นแล้วเราไม่รับรู้ เห็นอยู่ เห็นรูปภาพนั้น เห็นภาพนั้น แต่ไม่รับรู้ว่าภาพนั้นเป็นภาพอะไร นี่วิญญาณไม่สอดรับ วิญญาณไม่ครบวงจร วิญญาณไม่รับเข้ามา มันก็เอาภาพนั้นเข้ามาไม่ได้ เห็นอยู่เก้อๆ เขินๆ อย่างนั้น เห็นเก้อๆ เขินๆ นี้ เห็นเพราะว่ามันพิการ มันไม่ครบวงจร ไม่ใช่ว่าเห็นเก้อๆ เขินๆ เพราะเราเห็นธรรม

ความเห็นธรรม มันต้องพยายามทำใจของเราสงบเข้ามา ใจของเราสงบเข้ามาแล้ว ต้องพยายามหาเงื่อนหาปมให้ได้ ถ้าหาเงื่อนหาปมเจอ ต้องแก้เงื่อนแก้ปมนั้นให้ได้ ถ้าแก้เงื่อนแก้ปมได้ ถึงจะแก้หลัก แก้ความผูกมัดของกิเลส กิเลสนี้ผูกมัดใจ ใจกับอาการต่างๆที่ว่า เราว่าเป็นของเราทั้งหมด ที่เราหลงไปในโลกธรรม หลงไปในสิ่งกระทบกระเทือนกับหัวใจทั้งหมด หลงไปกับสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น หลงไปกับความยุแยงตะแคงแหย่ของอวิชชา ของกิเลสที่มันผลักไสหัวใจเราให้ออกไป เราหลงใหลตรงนั้นไป เราพลาดไป เราพลาดจุดยืนของเรา

จุดยืนของเราคือความสงบ คือความปล่อยวางทั้งหมด คือเราไง จุดยืนของเรา จุดยืนคือหัวใจที่มันตั้งมั่นขึ้นมา คือใจที่มันปล่อยวางทั้งหมด นั้นคือใจ แต่เราไปเอาสิ่งต่างๆ ที่ว่าพะรุงพะรัง เป็นเครื่องที่ว่ามันแบกหามมาทั้งหมดว่าเป็นใจ คิดอารมณ์ขึ้นมาว่าเป็นใจ ความคิด ความนึก ความที่เราควบคุมไม่ได้นั้นเป็นใจ อันนั้นเป็นอาการของใจ

เป็นอาการของใจ มันเป็นโดยธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีธาตุ ๔ กับขันธ์ ๕ สิ่งที่เขาสื่อความหมายกัน ก็เป็นเรื่องของโลกเขาที่เขาใช้ขันธ์ ๕ นี้สื่อกัน สื่อออกไปจากร่างกายนี้ ในเมื่อเราเป็นภพของมนุษย์ ภพของมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สิ่งนี้มีโดยธรรมชาติ

แต่ธรรมนั้นบอกว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ว่าโดนกิเลสควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง ธรรมชี้ชัดขนาดนั้น แต่เราเชื่อ เราศรัทธา เรามีความรู้ความเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้น แต่เราไม่เคยสัมผัสกับสิ่งนั้นโดยตรง เราสัมผัสเราเข้าใจด้วยสัญญา เราเข้าใจด้วยความรับรู้ต่างๆ มา เราเข้าใจ

ความเข้าใจนั้นเป็นความเข้าใจ ความเข้าใจกับอาการของเงาที่ความคิดนั้นเหมือนกันไหม? เหมือนกัน เพราะอยู่ภายนอก อาการตื่นไง อาการตื่นข้างนอก มันถึงไม่เข้าถึงที่สุดที่จุดของปมเงื่อน ที่ว่าเราจะเข้าไปแกะปมเงื่อนนั้นได้ ปมเงื่อนนี้ยังต้องใช้ปัญญา ทำความสงบเข้ามาเรื่อยๆ ทำความสงบ ต้องฝืนต้องทน

ถ้ามีสติ มีความจงใจ มีความบังคับตน ต้องใช้บังคับตน มันดิ้นรนขนาดไหนก็ต้องพยายามบังคับ นี่เป็นคนที่ว่าถ้าบังคับ พยายามดัดแปลงตน เราบังคับตน เราทรมานตนนั้นคือทรมานกิเลส สิ่งที่ทรมานกิเลส เด็กๆ เวลาปล่อยให้เด็กเล่นโดยธรรมชาติ เด็กจะมีความสุขของเขา เล่นกันโดยเพลิดเพลินไปอย่างนั้น เด็กๆ นี่ให้เขาทำงานทำการ หรือให้เขาแค่อยู่เฉยๆ ทำความสงบให้เขานั่งเฉยๆ เขาจะต่อต้านมาก เขาจะหลุกหลิกๆ

ใจนี้ก็เหมือนกัน โดยธรรมชาติของมัน มันวิ่งเต้น มันส่งออกไป มันมีความคิดออกไปโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาตินะ แต่ถ้าโดยธรรม คือเขาหิวโหย อะไรผ่านเข้ามาในคลองของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น เสวยทั้งหมด กินทั้งหมด พยายามเพราะความหิวโหย ถ้าทำความสงบเข้าไป ความสงบนั้นทำให้จิตอิ่มเต็ม ความอิ่มเต็มนั้นไม่หิวโหย จะกระทบก็เหมือนกัน จะมีสติสัมปชัญญะควบคุมสิ่งนั้นได้ นั่นล่ะไฟของโลก

ไฟของกิเลสในโลกนี้จะสงบตัวลง จะเกิดความสุขขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจนั้นถ้ามีความสงบเข้ามา จะมีความสุขเข้ามา ความสุขด้วย ความยืนยันถึงว่านี้คือจิตของเรา นี้คือหัวใจของเราด้วย อันนั้นคือจุดยืนของเรา

พอจุดยืนของเราเกิดขึ้นมา มันยืนยันถึง ๒ ประเด็นพร้อมกัน แล้วจะเชื่อเรื่องศาสนา จะตื่นเต้นกับเรื่องของศาสนามากว่าศาสนานี้สอนหลักความจริงล้วนๆ สิ่งที่เราทำกันอยู่ในหลักของศาสนาในนั้น เป็นประเพณีวัฒนธรรมเฉยๆ ประเพณีวัฒนธรรมภายนอกเข้ามา เพื่อจะกล่อมใจเข้ามา ตะล่อมเข้ามาเพื่อให้ใจของเราพยายามเข้ามา หาตังเองให้เจอไง

อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น ใจเท่านั้นพยายามจะสลัด อารมณ์นิวรณ์ต่างๆ เข้ามา เพื่อหาความสงบ สิ่งต่างๆ นั้นเป็นนิวรณ์ ๕ นิวรณ์ ๕ นี้เป็นเครื่องกั้นจิต เป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้เห็นตนเองไง พอไม่เห็นตนเอง นิวรณธรรมฟุ้งซ่านไป ความง่วงเหงาหาวนอน ความวิตกกังวล ความอาฆาตพยาบาท แม้แต่ความพอใจฉันทะนี้ มันก็เป็นนิวรณธรรม ความพอใจจะคิดไง ความพอใจจะทำ เพราะมันพอใจของมันเอง

สิ่งที่พอใจ มันก็เริ่มจะเสวยอารมณ์ เพราะมันเห็นว่าอันนั้นไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย เพราะมันเห็นว่าความพอใจ เห็นไหมกามฉันท์ กามฉันท์แค่ความพอใจนี้เป็นกามแล้ว กามที่ว่าคิดออกไป เราไปเห็นกามข้างนอกว่าหยาบๆ กามที่ว่ามันเกิดขึ้นในหัวใจของเรา กามฉันทะมันพอใจในอารมณ์ พอใจในความคิดของมัน มันก็เลยไปกับเขา ไปกับสิ่งที่เย้ายวนในหัวใจนั้น

สิ่งที่เย้ายวนนั้นคือกิเลสทั้งหมด ถ้าเห็นโทษของกิเลสหยาบๆ นี่กิเลสหยาบๆ สิ่งที่หยาบๆ เรายังไม่เห็น เพราะสิ่งที่หยาบๆ นี้ถึงทำให้เราฟุ้งซ่านได้ ถ้าเราทำต่อต้านกับสิ่งนั้นเข้ามา เราบังคับสิ่งนั้นเข้ามาได้ ใจนี้สงบตัวเข้ามา

พอใจสงบตัวเข้ามา ชนะกับกิเลสหยาบๆ ชนะกับสิ่งหยาบๆ ชนะกับนิวรณธรรมขึ้นมา ความพอใจในอารมณ์ไม่เกิด มันจะเกิดแต่ความสุขภายใน ไม่ใช่ความพอใจ มันเป็นความสุขจริงๆ ความสุขเพราะคนเราพะรุงพะรังมา แบกของมา สัมภาระเต็มหลังเลย แล้วสลัดวางได้ชั่วคราว มีความสุขเกิดขึ้น นี่จุดยืน

จุดยืนของเราที่เราจะเริ่มหาเงื่อนหาปม จะต้องมีเงื่อนมีปม เราจะบริกรรมเห็นไหม เช่นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราท่องบ่นเข้ามา พอความท่องบ่นเข้ามา มันกินอาหารใหม่จากอารมณ์ข้างนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่ตโจที่ว่าท่องบ่นเข้ามา อันนั้นเป็นคำบริกรรมเข้ามา มันจะสงบเข้ามาๆ นี่ความสงบของใจเข้ามา

พอใจสงบเข้ามาสิ่งนั้น เห็นไหม กรงขังเสือ เพราะเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้เป็นกรง เสือมันอยู่ในกรงนั้น พอเสือมันอยู่ในกรงนั้น เราก็ต้องพยายามเน้นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กลับซ้ำเข้าไป ถึงจิตสงบก็ต้องเพ่ง ต้องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจตลอดไป... ตลอดไป... ถ้าย้ำ ย้ำอยู่ตรงนี้ จะเห็นเสือได้

เสือนี้เป็นเสือโดยนามธรรม เสือในรูปธรรม มันจับต้องตัวเสือได้เห็นไหม เสือโดยนามธรรม มันเป็นสิ่งที่ว่าอยู่ในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนั้นแหละ แต่เราไม่เห็น ถ้าเราไม่เห็น เราก็จับเงื่อนปมไม่ได้ ถ้าเราเห็นในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จากจิตที่สงบ

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจจากภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่เราบริกรรมเข้ามา เพื่อให้ใจนี้สงบเข้ามา... ใจนี้สงบเข้ามา แล้วเราเอาใจสงบนั้นย้ำลงไปในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ซ้ำนั้น นั้นล่ะจะเห็นเสือ

ความที่เห็นเสือ พอจับได้สิ่งนั้น มันจะมีอาการ คำว่าอาการนี่คือปม ถ้าจับปมตัวนั้นได้ ปมนั้นล่ะพิจารณาไป ถ้าจิตนี้สงบ ถ้าไม่ใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญากับสัญญาต่างกัน ความคิดของเรานี้คือสัญญา สัญญาพร้อมกับสังขารปรุงแต่ง อันนั้นเป็นปัญญาของโลก กับปัญญาของธรรม

ปัญญาของธรรมต้องใช้อาศัยความสงบของใจขึ้นมา แล้วถึงจะใช้ปัญญา ใช้ปัญญาใช้ก็ใช้สังขารนั้นเหมือนกัน แต่อาศัยความสงบนั้น แล้วต้องฝึกด้วย ฝึกหมายถึงใช้ปัญญานั้นก้าวเดินออกไป ถ้าเห็นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นจากข้างนอกเข้ามา ความเห็นเข้ามามันจะปล่อย นั้นคือปัญญาจากข้างนอก พอปล่อยเข้ามาจิตนี้สงบ สงบแล้วจะทรงตัวอยู่อย่างนั้น

จิตนี้สงบแล้วก็สงบ มีความสุขนั้นเป็นความสุข แล้วความเวิ้งว้างของจิตนั้น นี้ถ้าเป็นนามธรรม เราคาดเราหมาย เห็นไหมความคาดความหมายเป็นความด้นความเดา ความคาดความหมายนั้นไม่ใช่ความจริง ถ้าเป็นความจริงต้องฝึกปัญญา ปัญญาฝึกได้ ปัญญาในทางธรรมต้องฝึกขึ้นมา ฝึกขึ้นมาหมายถึงว่า สิ่งนั้นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราพยายามพิจารณาเข้าไปเรื่อย จะจับเงื่อนปมได้

พอจับเงื่อนปมได้ สิ่งที่เราพิจารณาต่อไป นั้นถึงจะเป็นปัญญา ปัญญาที่ในการใคร่ครวญ แยกแยะ ออกให้เป็นปฏิภาคะ สิ่งที่เป็นปฏิภาคะเพราะอะไร? เพราะเราต้องการเห็นเสือในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนั้น เพราะเสืออยู่ในนั้น เสือนี้เป็นนามธรรม เสือนี้เป็นสมมุติ เสือนี้เป็นมันเป็นนามธรรมที่ตั้งว่าเป็นเสือ เป็นเสือเราก็กลัวใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เรารัก เราสงวนขึ้นมาล่ะ? สิ่งที่เรารักเราสงวนขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่เราผูกมัดไปกับสิ่งนั้นไง

สิ่งนั้นสงวนเพราะอะไร? เพราะมันเป็นกิเลสมันพาสงวน สิ่งนี้เราพิจารณาแล้ว สิ่งนี้เราได้ทำแล้ว สิ่งนี้เราได้เข้าใจแล้ว ความว่าเข้าใจแล้ว นี่ปัญญาขณะที่เราก้าวเดินอยู่ มันก็มีกิเลสนี้จะต่อสู้ไปตลอด การต่อสู้ การคัดง้าง การพยายามผลักไสของกิเลส ของอวิชชา ของความผูกมัด เงื่อนปมของฝ่ายลบ

ฝ่ายลบจะทำให้งานของเราเสียไป งานของเราจะเสียไป เสียไปในขณะที่ว่าเป็นการเป็นงานขึ้นมา ที่งานนี้จะเป็นผลประโยชน์กับเรา ถ้าเราพยายามซ้ำตรงนั้นเข้าไป เราซ้ำของเรา ความซ้ำคือวิภาคะลงไปเรื่อยๆ ปล่อยวางเรื่อยๆ

ความปล่อยวางอันนั้น ความปล่อยวางจากการวิปัสสนาเข้าไปเรื่อยๆ นี่มันจะเห็นจริงขึ้นมา เห็นจริงขึ้นมาจากความจริง จากภายใน เห็นจริงมันจะปล่อยวางตามความเข้าใจ ปัญญาเลาะเข้าไป เลาะด้วยปัญญาคือความเข้าใจ ความปล่อยวางความเข้าใจเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป แต่คำบริกรรมเข้ามาเรื่อยๆ เข้าไปนั้น เป็นความกดไว้ กดไว้เข้ามา เห็นไหม ความเข้าใจจะไม่เกิดขึ้น จะเป็นปัจจัตตังในการเทียบเคียงกันว่าความสงบของสมาธิ ที่ปล่อยวางของสมาธิ ปล่อยวางของสมถกรรมฐานนั้น อาการของใจเป็นอย่างใด

การปล่อยวางของปัญญา เลาะใคร่ครวญ การตัดแขนงของกิ่งก้านสาขาของกิเลสเข้าไป ความปล่อยวางอันนี้ เวิ้งว้างความสุขต่างกันอย่างใด เห็นไหมพิจารณาเข้าไป ถ้าเอาอันนี้มาเทียบเคียงเข้ามาแล้ว มันจะมีแก่ใจ

มีแก่ใจคือกำลังใจที่จะซ้ำ ความซ้ำคือต้องใคร่ครวญเข้าไป ซ้ำเข้าไป... ซ้ำเข้าไป... ไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเจริญงอกงามขึ้นมา แล้วทำให้ทำยากขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะท้อถอย ความท้อถอยเพราะการต่อสู้ด้วยไง การค้นคว้าด้วยกำลังใจของเรานี้ มันต้องทุ่มกันทั้งชีวิต งานจากภายนอกเห็นไหม งานที่ทำงานภายนอก ใช้แรงกาย เราก็สู้ขนาดไหน เราต่อสู้นี่ เข้มแข็งขนาดไหนก็แล้วแต่ เราทุ่มไป มันเหนื่อยก็พักได้

แต่งานของใจ มันต้องทุ่มเข้าไปทั้งหมด นั่งอยู่โดยนั่งขัดสมาธินี่แหละ แต่เวลาหัวใจมันหมุน ปัญญามันหมุนออกไป มันปั่นเข้าไปในหัวใจ มันหมุนเข้าไปต่อสู้กันนี่ วิปัสสนาต่อสู้กันระหว่างฝ่ายธรรมกับฝ่ายกิเลส มันจะสู้กันอยู่ในหัวใจ เหนื่อยมาก... หอบเชียวนะ จนเหนื่อยออกมา ต้องกลับมาพักที่สมถะ กลับมาพักที่คำบริกรรมของเรา จะเป็นคำบริกรรมคำใดก็ได้ กลับมาพักก่อน

พักขึ้นมา อย่าไปเสียดาย อย่าไปอยากให้มันจบ ให้มันเที่ยวเดียว ถ้าจบไปเที่ยวเดียว มันไม่จบ แล้วมันไม่ปล่อยวาง มันทำไปๆ แล้วมันล้าไง นี่ต้องกลับมาทำความสงบของใจ มันถึงต้องก้าวเดินไปพร้อมกับสมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐานพร้อมกัน

วิปัสสนากรรมฐานเกิดขึ้นได้ด้วยความสงบของใจ ด้วยสมถกรรมฐาน เป็นแรงพื้นฐานของใจที่เข้าไปทำวิปัสสนาอันนั้น ถ้าวิปัสสนาหมุนตัวอยู่ตลอดเวลา สมถกรรมฐานอ่อนตัวลง วิปัสสนานั้นจะเป็นสัญญา เป็นสัญญาคือเป็นปัญญาความคิดความจำของเราที่เคยคาดเคยหมาย อยากได้อย่างนั้น อยากได้เหมือนวันนั้น อยากสงบเหมือนวันนั้น อยากจะใคร่ครวญให้ขาดให้ช่วงไป นั้นเป็นสัญญา

แม้แต่ในปัญญาใคร่ครวญอยู่ก็เหมือนกัน สมบัติเดิมหมายถึงว่าเคยพิจารณาอยู่วันใด ที่มันปล่อยวางแล้ว จะเอาสิ่งนั้นมาใช้อีก วันนั้นไม่ได้ เว้นไว้แต่ถ้าวิปัสสนาไป มันจะเหมือนกับวันนั้น เวลามันขึ้นมาโดยปัจจุบันไง ปัญญาในปัจจุบันมันจะขึ้นมานะ ขึ้นมาหมายถึงว่า ความคิดมันจะแล่นขึ้นมาพั้บ! พั้บ! พั้บ! มันจะผุดขึ้นมาทันทีกับปัจจุบันนั้น แล้วจะมีความรับรู้ต่อไป นี้คือปัญญาก้าวเดินออกไป นี่คือการเลาะถอดถอน การเลาะออกไป

ไก่.. เราจะกินไก่ ไก่เขากินแต่เนื้อไก่ ไก่เขาไม่กินกระดูกทั้งเนื้อพร้อมกัน นี่เลาะไก่กับกระดูกไก่ออกจากกัน ไก่กับกระดูกไก่ เนื้อเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อมันหุ้มอยู่ด้วยกัน แต่กระดูกมันอยู่ข้างใน เราไม่เห็น เราเห็นแต่เนื้อ นี้ก็เหมือนกัน กิเลสอวิชชามันอยู่ข้างใน อยู่เป็นกระดูก โดยที่ว่าความวิปัสสนาของเรา ความว่าง ความเป็นของเราหุ้มอยู่เรามองไม่เห็น ถึงต้องทำต่อไป ต้องเลาะออกมาให้ได้ ซ้ำเข้าไป วิปัสสนาซ้ำ ถอยมาหาความสงบแล้วกลับไปซ้ำ เพื่อจะละกิเลส

กิเลสเป็นไฟ เผาลนแม้แต่ความคิดตั้งแต่เริ่มต้น เผาลนให้เราทำความสงบของเรา เรายังทำความสงบของเราขึ้นมาด้วยความวิริยะอุตสาหะ อันนี้มันเป็นการที่เราก้าวเดินเข้าไป เพราะว่าอันนี้จะเข้าไปเลาะ ด้วยความเลาะออก ทำให้ไฟนั้นเบาบางลงไปเรื่อยๆ ทำไฟนั้นให้ดับไปจากใจให้ได้ ถ้าไฟนั้นยังติดเชื้ออยู่ในใฟ เชื้อในไฟที่เผาอยู่ในหัวใจนั้น มันจะเผาอยู่ออกมาตลอด แล้วมันจะมีการต่อต้านมาตลอด นี่การทำของเรา การวิปัสสนาของเรา ถึงมีสิ่งนี้เป็นสิ่งต่อต้าน

ถ้าเราคิดว่า เราทำวิปัสสนาขึ้นไป เราประพฤติปฏิบัติธรรมแล้ว เราทำคุณงามความดีน่าจะสะดวก น่าจะสบาย ความดีนี้ทุกคนส่งเสริมเห็นไหม แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหมก็อนุโมทนากับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ จิตนี้จะสงบขึ้นมา ยังเข้ามาคุ้มมาครอง แม้แต่เป็นเครือญาติกันมานะ

พระนาคิตะ เดินจงกรมอยู่ในป่า แล้วจิตนี้กำลังใคร่ครวญวิปัสสนาของตัวเองอยู่ แล้วมีชาวบ้านเขาไปเที่ยวกัน ไปดูมหรสพ คิดขึ้นมาทันที “เขามีความสุขกัน พวกนั้นเขามีความสุข เขาออกไปเที่ยวข้างนอก มีเราคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนเดนตาย เป็นคนที่ไม่มีคุณค่า มาอยู่ในป่าอยู่คนเดียว มาอยู่ในที่อับเฉาอยู่คนเดียว แล้วมาจนตรอกจนมุมอยู่คนเดียว” นี่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ

ผู้ที่ปฏิบัติดี ทำดี พยายามวิปัสสนาอยู่ เราว่าจะต้องมีการทำคุณความดี ต้องมีคนช่วย มีสิ! เทวดามาหยุดยั้งกลางอากาศทันทีนะ อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎก เทวดามาหยุดยั้งกลางอากาศ แล้วเปล่งวาจาลงมาจากอากาศว่า สิ่งที่เขาไปเที่ยว...(เทปขาด)

มหรสพสมโภชจะมีอะไร ก็รูป รส กลิ่น เสียงภายนอกหยาบๆ ที่เป็นไฟเผาลนในหัวใจนั้น เผาลนใจทุกๆ ดวงที่ยังหลงใหลได้ปลื้มอยู่นั้น กับหัวใจที่พยายามต่อสู้ ผู้ที่จะออกจากกิเลสนี้น้อยมาก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในการประพฤติปฏิบัติ มีส่วนน้อยมาก ผู้ที่จะออกจากกิเลสนี้ ท่านต่างหากเป็นคนที่ประเสริฐ พระเรวตะเป็นคนประเสริฐ เขานั้นเป็นคนที่ว่าอยู่ในอารมณ์โลก อยู่ในโลกที่เขาดึงไปทั้งหมด

กำลังใจเกิดขึ้น ขึ้นมาคืนนั้น ในพระไตรปิฎกบอกว่าคืนนั้นพระเรวตะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้น คืนนั้นพระเรวตะวิปัสสนา คืนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปเลย มีผู้ที่เขาจะส่งเสริมอยู่ ผู้ที่ใฝ่ดี มีนะ ในเทวดาก็มีฝ่ายมารกับฝ่ายเทพ เทวดาฝ่ายมารนี่ทำคุณงามความดีแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ทำคุณงามความดี

คุณงามความดีจากภายนอก เกิดในวัฏวน เราก็ทำคุณงามความดีของเรา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วเรายังมีธรรมในหัวใจ มีธรรม มีสุตมยปัญญา มีความเชื่อในหลักของศาสนา เข้ามาประพฤติปฏิบัติ เราเข้ามาประพฤติปฏิบัติ เราก็ต้องมีคุณงามความดีของเราแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นเรื่องทุกข์เรื่องยากนี้ มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น

เป็นเรื่องการต่อต้านมาจากจุดกลางหัวใจของเราทั้งนั้นนะ เราเข้าใจว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชา คือ มารใหญ่อยู่ที่กลางหัวใจเรา สิ่งที่คิดเป็นทางบกพร่อง สิ่งที่คิดจะให้เราล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่จะทำให้เราไม่สู้ นี้คือกิเลสในหัวใจของเราต่างหากนะ ไม่ใช่ว่าใครเขาจะมาทำร้าย มาทำให้เราเสียหาย จะทำให้เราเป็นคนที่ว่าไม่สู้ เป็นคนที่ว่าล้มลุกคลุกคลาน คือกิเลสในหัวใจของเรานั่นเอง

หัวใจของเราที่เป็นเรา... เป็นเรา... จะตั้งใจทำคุณงามความดีอยู่นี้ เราพยายามจะทำคุณงามความดีของเรา เราตั้งใจของเรา เราว่าเราทำความดี ทำความดีนี่ไง “เราว่า” เห็นไหม เราว่านี้เป็นเงานะ เป็นอาการของใจ ไม่ใช่เนื้อของใจ แต่กิเลสนี่มันอยู่กับใจ ภวาสวะภพของใจไง ภวาสวะ อนุสัย อยู่ที่ในหัวใจ มันก็ออกมาต่อต้านน่ะสิ ถึงเป็นนิวรณธรรม ๕ ไง

สิ่งที่ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานคือใจของเรา สิ่งที่ทำให้เราไม่เชื่อมั่น สิ่งที่ทำให้เราไม่สู้ สิ่งที่จะทำให้เราเสียหายไป ก็คืออวิชชาเท่านั้น ถึงต้องเห็นโทษในใจของเรา แล้วพยายามพลิกแพลงขึ้นมา เพื่อจะต่อสู้เข้าไป วิปัสสนานี่ จับเงื่อนปมได้ ต้องทำได้ จับเงื่อนปมได้แล้ว วิปัสสนามาใช้ปัญญา

วิปัสสนาคือการใช้ปัญญา คำว่าวิปัสสนา คือ ใช้ปัญญานำหน้า ถ้าเป็นสมถะนี้ใช้คำบริกรรมนำหน้า กำหนดด้วยคำบริกรรมเข้าไป สมถกรรมฐานคือคำบริกรรมอย่างเดียว คำบริกรรมนี่พยายามดึงเข้ามา ดึงเข้ามา นี้เป็นสมถะ เพื่อทำให้ให้สงบ เพื่อยื่นอาหารยื่นธรรมนี้ให้ใจได้ดื่ม ได้อาหารนี้เข้าไปเพื่อให้อิ่ม ให้มีพลังงานขึ้นมาได้ นั่นสมถธรรม

วิปัสสนาคือปัญญา ปัญญาคือความใคร่ครวญ ความไตร่ตรอง ปัญญาคือความรอบรู้ในสังขาร ปัญญาที่หมุนในกองสังขารที่เป็นสังขาร ที่ได้สมาธิขึ้นมาแยกออกจากพญามารนี้ไง ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีสมถะเข้ามายับยั้งให้มารสงบตัวลง แล้วปัญญาจะก้าวเดินไปไม่ได้เลย พอมารสงบตัวลง

มารสงบตัวลงหมายถึงว่า อวิชชานี้ได้โดนสมถะนี้กดถ่วงไว้ ให้มีอิสระชั่วคราว นี้คือปัญญา ใจนี้เป็นอิสระ ใจนี้ก็มีปัญญาขึ้นมาได้ แต่ปัญญานี้จะไม่เกิดขึ้นมา เงื่อนปมนี้ไม่เจอ ถ้าเจอ จับเงื่อนปมนี้ได้ จับเงื่อนปมเพราะปัญญาต้องฟาดฟันเข้าไปตรงเงื่อนตรงปมนั้น ถ้าปัญญาฟาดเข้าไปที่เงื่อนที่ปมนั้น

การฟาดการฟันนั้น การเลาะ เลาะเข้าไปต้องไปเห็นโทษไง ความเห็นโทษคือเห็นไตรลักษณะ เห็นการนี้ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปทั้งหมด” สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่วัตถุเราเห็นกันง่าย ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป มันต้องบุบสลายไป มันต้องแปรสภาพไป เขาก็ยังมีการซ่อมการบำรุง เพื่อจะให้มันคงที่

สิ่งที่ซ่อมที่บำรุงนั้นจะให้คงที่ ใช้ประโยชน์ได้นานๆ อันนั้นเขาซ่อมบำรุงวัตถุ นามธรรมนี้มันเป็นไตรลักษณะ เราเห็นชั่วคราว เห็นวูบๆ วาบๆ เพราะอะไร? เพราะว่าเขาจะไม่ให้เราเห็นสิ่งนั้น ปัญญาแทงตลอดในการที่ว่าเป็นไตรลักษณะ

ถ้าเห็นไตรลักษณะนี้คือการเห็น เห็นความไม่แน่นอน เห็นความจอมปลอม สิ่งที่เป็นความจอมปลอม ถ้าเห็นว่าเป็นความจอมปลอม มันจะไปยึดไปหลงได้อย่างไร สิ่งที่หลงเพราะไม่เข้าใจ สิ่งที่หลงเพราะไม่รู้ เพราะเราเกิดมาในสถานะของความไม่รู้ เกิดมาด้วยสถานะของความรู้ แต่เพราะบุญกุศล เกิดมาแล้วมีสิ่งนี้ มีธาตุกับมีขันธ์ ถึงวิปัสสนาธาตุกับขันธ์นั้นได้ไง

“ดอกบัวเกินขึ้นจากโคลนตม” โคลนตมเห็นไหม ร่างกายกับหัวใจเหมือนโคลนตม สกปรกโสโครก อยู่ด้วยอวิชชา อยู่ด้วยพญามาร อยู่ด้วยกิเลสเผาลนอยู่ แล้วเราก็วิปัสสนาไอ้โคลนตม ไอ้สิ่งที่เป็นความสกปรกโสโครก ในสิ่งที่เป็นร่างกายของเรานี้ ถ้าเราพิจารณาความสกปรกโสโครกขึ้นมา จนความเข้าใจของเราเกิดขึ้นมา ความเห็นจริงจากความสกปรกนั้น มันปล่อยวางจากสิ่งที่สกปรก นี่ดอกบัวเกิดขึ้นจากโคลนตม

ความเห็นจริงจากหัวใจ ดวงที่เข้าใจความเป็นจริงนั้นจะปล่อยจากหลักความเป็นจริงนั้นออกมา ปล่อยจากความเป็นจริงนั้น ฟังสิ! ทำไมปล่อยจากหลังความจริงล่ะ? อ้าว กายก็จริงอันหนึ่ง ใจก็จริงอันหนึ่ง ทุกข์ก็จริงอันหนึ่ง ปล่อยจากหลักความจริง ต่างอันต่างจริง

พอต่างอันต่างจริง นี้ก็ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างความเข้าใจ ต่างอันต่างจะมากดถ่วงกัน ต่างอันจะมาหลอกกันไม่ได้ มันหลอกกันเพราะว่ามันกดถ่วงกัน มันปิดไว้ไง มันปิดความมืดบอดไม่ให้เราเห็นสิ่งนั้น มันต้องใช้ปัญญาในการใคร่ครวญออกไป จากเงื่อนปมนั้น ถ้าจับเงื่อนจับปมไม่ได้ เราวิปัสสนาไป มันใช้ปัญญาไปเฉยๆ แต่ไม่มีจุด ไม่มีเป้าหมาย ตรงมีเป้ามีหมายให้สิ่งนั้นได้ฟาดฟันเข้าไป

พอฟาดฟันเข้าไป นี่ไฟนั้นเริ่มเบาตัวลง กิเลสคือไฟ กิเลสมันอยู่ในหัวใจ เราต้องพยายามรักตน รักตัวรักตน ต้องเอาตนพ้นนะ พ้นออกไปจากสิ่งที่ว่าเป็นกรงขังให้ได้เลย วัฏฏะนี้เป็นกรงขังของจิตวิญญาณ มนุษย์นี้เกิดตาย เกิดตายในวัฏวนนี้ตลอด พ้นจากความเข้าใจสรรพสิ่ง เป็นความเป็นจริงแล้วมันก็ยังอยู่ในวัฏฏะอยู่ เข้าใจในหลักของความเป็นจริง เข้าใจของธรรม จริงตามความเป็นจริงส่วนใดส่วนหนึ่ง จริงหมดแล้ว ใจนั้นก็จริงอยู่ของใจดวงนั้น มีความสุข

มีความสุขคือความเข้าใจ แล้วจะไม่เผลอไผลไปกับเรื่องของโลกๆ เขา คือว่าไม่เผลอไผลกับความสิ่งที่ว่าหลอกลวงไป แต่มันเผลอไผลกับสิ่งที่เป็นภายใน สิ่งที่เป็นภายในมันจะเป็นความสงบเข้ามา วิปัสสนาเข้าไป ถ้าวิปัสสนาได้ ถ้าจับเงื่อนปมได้ หาเงื่อนหาปมให้เจอ ถ้าหาเงื่อนหาปมไม่เจอ มันก็หมุนวนไป อยู่ไปกินไปวันๆ หนึ่ง ใจนั้นหมุนไปเรื่อย อันนี้ไม่เสื่อม ความที่เห็นจริงนั้นไม่เสื่อม แต่ไฟนั้นยังเผาลนอยู่

ความที่ว่าไฟเผาลนอยู่ มันเผาลนอยู่นะ เผาลนอยู่อย่างนั้น มันมีความร้อนอยู่อย่างนั้น ความร้อนนั้นมันจะให้โทษอยู่กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องเข้าใจ เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำมาแล้ว เป็นสิ่งที่ทำมาแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไปขึ้นไป ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากสิ่งนี้ ถ้าทำความสงบเข้ามา มันติดในความสงบนั้นได้ ความสงบนั้นติดได้ เพราะมันให้ความสุข

จิตที่มีความสงบ จะมีความสุขเกิดขึ้นมาพร้อมกับความสงบนั้น ความสงบนั้นมีความสุขมาก ความสุขที่ว่าเกิดจากอามิส เกิดจากสิ่งต่างๆ ข้างนอก นั้นเป็นความสุขข้างนอก มันไม่เคยเจอกับความสุข ความปล่อยวางของใจ พอปล่อยวางมีความสุขของใจขึ้นมา จะว่าอันนี้เป็นผลไง

สมาธิเป็นสมาธิ การปล่อยวางนั้น กิเลสนี้เป็นนามธรรม น้ำใสแล้วเห็นตัวปลา ไอ้ปลาตัวนั้นก็อยู่ในน้ำใสนั้น ไม่เห็นตลอดไป ถ้าไม่ขุดคุ้ย ไม่เจอเงื่อนปมนั้น ความไม่เจอเงื่อนปมนั้น นี่มันก็อยู่ไปวันๆ หนึ่ง ชีวิตนี้สั้นนัก เราประพฤติปฏิบัติหรือไม่ประพฤติปฏิบัติ เราต้องตายทั้งหมด

เกิดมาในโลกนี้ ตายทั้งหมด ความตายอันนั้นอยู่ข้างหน้านั้น แล้วตายไปแล้วก็หมุนเวียนไป พอตายแล้วก็เจอได้ภพใหม่ชาติใหม่ ความได้ภพใหม่ชาติใหม่ขึ้นมา มันจะมีความคิดกับใจจะทำอย่างนี้หรือ? ถ้ามันมีความคิดกับใจทำอย่างนี้ มันต้องเริ่ม เห็นโทษไง ความเห็นโทษ

ถ้าเราเห็นโทษกับความที่ว่าเราเสียเวลาไปวันหนึ่งๆ อยู่กับความสงบอย่างเดียว มันติดเพราะมันมีความสุข ติดเพราะความเข้าใจ คนเราติดเห็นไหม ติดเพราะอะไร? เพราะความไม่รู้ มันไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นความสงบของใจ มันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นผลของใจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่า นิพพานเป็นสิ่งนี้ไง เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นที่สุดแล้ว มันจินตนาการไปเรื่อยๆ จินตนาการไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าเป็นที่พักที่อาศัย เป็นสิ่งที่คงทนถาวร นี่มันพลิกแพลงอยู่

สิ่งที่ว่าคงทนถาวรเพราะอะไร? เพราะเราทำความสงบอยู่ตลอด เรารักษาใจของเราไว้ตลอด ความที่รักษาไว้มันก็คงทนสิ มันไม่ได้ดูว่าสิ่งที่เรารักษา สิ่งที่จะเป็นความจริงมันต้องเป็นความจริงโดยธรรมชาติของเขาสิ จะรักษา-ไม่รักษามันต้องเป็นสิ่งนั้นสิ ไม่ต้องมีสิ่งที่ว่าวัตถุ เขาต้องมีการบำรุงรักษา เป็นความจริงนี้เป็นอกุปปธรรม

สิ่งที่เป็นอกุปปธรรม ไม่เสื่อม ไม่แปรสภาพกับสิ่งนั้น แต่ถ้าเป็นความสงบอยู่นี้ มันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา ความที่แปรสภาพอยู่นั้น นั่นล่ะเราต้องเห็นโทษจากตรงนั้น มันก็ต้องหาเงื่อนหาปมสิ นี่คนที่มีความฉลาด ความฉลาดที่จะเอาตัวรอด ไม่ใช่ความฉลาดของกิเลสนะ กิเลสมันฉลาดกว่าเรา มันถึงหลอกเราได้ แล้วเราก็เชื่อกิเลส

เราประพฤติปฏิบัติไป กิเลสมันก็ก้าวเดินไป พร้อมกับการก้าวเดินของใจเราไปเรื่อยๆ อาการของใจนี่ ความคิด ความสังเกต ความพลิกแพลงของใจนี้ พยายามหันกลับมามอง ถ้าหันกลับมามอง มันต้องจับเงื่อนปม เงื่อนหรือปมอันนี้ได้ ถ้าจับเงื่อนปมอันนี้ได้ มันก็ได้อีก ได้ต่อไปอีก

การจับเงื่อนปม ดูสิ เวลาเขาไปโรงพยาบาลกัน ไปหาหมอ เขาจะผ่าตัดสิ่งใด เขาต้องเตรียมตัวใช่ไหม เขาต้องทำความสะอาดแผลนั้นก่อนใช่ไหม การทำความสะอาดแผลนั้นก่อน ก็เหมือนกัน การผ่าตัดอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเริ่มทำความสะอาด ต้องเริ่มเตรียมคนไข้ จะให้พบกิเลสกับการวิปัสสนา มันก็ต้องเตรียมใจ

เตรียมใจนี่ มันถึงต้องเป็นการหาเงื่อนหาปม ต้องมีเงื่อนมีปมขึ้นไปตลอด ถ้าไม่มีเงื่อนมีปม การหาเงื่อนปมเหมือนกับเราพยายามเตรียมที่ไว้ เพื่อจะทำการผ่าตัดหัวใจไง ทำการผ่าตัดใจ ทำการผ่าตัดชำระหัวใจออก กิเลสที่อยู่ในหัวใจนี้ ออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเพราะว่าความสงบมันเข้ามาเรื่อย ละเอียดเข้าไปเรื่อย

ใจของเรามันไม่ใช่ว่ามันเข้าใจ มันหลงไปตลอด ทั้งๆ ที่ยังไม่พบเงื่อนพบปม มันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นแล้วไง นี่ความมักง่าย ความมักง่ายที่จะเป็นประโยชน์กับเราข้างหน้า เลยไม่ได้ งานสิ่งใดๆ ถ้าใช้ความละเอียดรอบคอบเข้าไป มันจะมีความผิดพลาดได้น้อย นี่ก็เหมือนกัน จากสติปัญญา เราใช้มหาสติมหาปัญญาเข้าไปเรื่อยๆ เราจะใช้ได้อย่างไร มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญาเข้าไปต่อเมื่อมันเป็นจริง ถ้าว่าเป็นสติปัญญานี้ เป็นสติปัญญาโดยธรรมชาติ ใช้ไป เราใช้ขึ้นไป เรารักษาขึ้นไป มันละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

ความละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เพราะกิเลสมันก็ละเอียดเข้าไป ขันธ์จากภายนอก ขันธ์จากภายใน ขันธ์ในขันธ์ เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา แล้วมันจะพบกันได้อย่างไร จะจับต้องสิ่งนั้นได้อย่างไร นั้นคือเงื่อนปม ต้องพยายาม หมอเขาจะทำยังต้องเตรียมตัว เตรียมคนไข้ นี้เราจะวิปัสสนา เราต้องเตรียมใจของเรา มันถึงไม่เป็นการช้า มันถึงไม่เป็นการมักง่าย มันถึงเป็นงานในหน้าที่

ในเมื่อมันเป็นงาน เราก็พอใจจะทำ แต่ถ้าเราไม่คิดว่ามันเป็นงาน หน้าที่ของเราคือวิปัสสนา วิปัสสนาที่ทำในความสงบนั้นมันเป็นวิปัสสนาหลอก มันเหมือนกับวิปัสสนานามรูป ที่ว่านามรูป นามรูปแล้ววิปัสสนาไป เราคิดไป พิจารณารูป แค่นี้ก็เกิดขึ้นมา มันเหมือนกันเพราะเราสร้างภาพขึ้นมา เราสร้างสิ่งใดขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพราะสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นได้ มันเป็นเป้าลวง

พอเป้าลวงเกิดขึ้นมา เราวิปัสสนาไป ภาพนั้นก็จะหายไป เพราะมันมีความเข้าใจในภาพนั้น อันนั้นมันเป็นความสงบนะ มันไม่เป็นสมุจเฉท มันไม่ใช่เข้าไปจับเงื่อนปมแล้วแก้ไขเงื่อนปมนั้น มันเป็นการก้าวเดินตามอารมณ์ มันก้าวตาม มันเป็นอดีต อนาคต มันสร้างได้ เพราะใจนี้เร็วมากนะ ภาพนี้สร้างขึ้นมาได้เร็วมหาศาลเลย แล้วเราตามเห็นภาพนั้น เราก็เหมือนเราหลอกเราเอง แล้วเราเข้าใจว่าอันนั้นเป็นผล หลอก ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ

เราหลอก กิเลสมันหลอกเรา แล้วเราก็เชื่อกิเลส เราเลยโดนหลอกไง เราไม่หลอกหรอก เราคิดจริงๆ เราทำจริงๆ เรารู้จริงๆ เราเห็นจริงๆ แต่ความที่ว่าเราเห็นจริงนั้น มันเป็นความไม่จริง เพราะมันเป็นความเห็นของเรา มันไม่เป็นความจริงในหลักอริยสัจ “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ความทุกข์ความที่ว่า ความไม่รู้จริงเห็นจริงอันนั้น มันเป็นความทุกข์

ความทุกข์เพราะอะไร? เพราะว่ามันทรงตัวอยู่ เวลามันนิโรธ ทุกข์มันดับ มันขาดออกไป เห็นไหมทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้ามันขาด มันขาดออกไป ความทุกข์นั้นขาดออกไปเป็นชั้น มันเห็นทุกข์นี้ขาดออกไปจากใจ หลุดออกไปจากใจ นี่กิเลสมันหลุดเป็นชั้นๆ หลุดตรงที่ว่าทุกข์นี้หลุดออกไปจากใจเป็นชั้นนะ ความสุข ความละเอียดของใจนี้จะละเอียดเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป เป็นชั้นๆ ขั้นตอนที่จะละเอียดเข้าไป

ถึงว่า ไม่ใช่เป็นการสับสน เราชี้ว่า เราเดินตามสเต็ปเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปแล้วไม่เป็นความสับสนนะ เป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วมันก็จบขบวนการของขั้นตอนแล้ว นี่กิเลสมันหลอก เป็นทั้งนั้น1 ผู้ปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นความลึกซึ้งละเอียดอ่อนมาก เรื่องของธรรมนี้ละเอียดอ่อน เหนือการคาดหมาย เหนือการจินตนาการทั้งหมด

ทีนี้พอจิตมันสงบเข้าไป มันจินตนาการได้ เพราะว่าเวลาเราสงบเขามา จิตของเราสงบเข้ามา มันก็มีความสุข มีความสุขมาก เวิ้งว้างมาก ไม่เหมือนกับเรื่องของโลกๆ ที่เขามีแน่นอน แน่นอนเลย เรื่องของโลกๆ เขานี่เป็นโลกๆ เขา อันนี้เป็นธรรม เพราะเราเห็นจริงเข้ามา เราเห็นจริงเข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว เราเห็นจริงเราปล่อยวางตามความเป็นจริงเข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังหมุนอยู่ในหลัก มันเป็นขันธ์ใน

อาการที่มันหลอกอยู่ สิ่งที่หลอกอยู่ภายใน มีแน่นอน พอหลอกอยู่เข้าไปนี่ เป็นความเชื่อของเรา เพราะเราเชื่อเองต่างหาก พอเราเชื่อขึ้นมา เราก็อยู่ตรงนั้น ความก้าวเดินของเราไป ไม่ไปตรงนั้น ไม่ก้าวเดินจากตรงนั้น เพราะจับเงื่อนปมไม่ได้ ต้องจับเงื่อนจับปมได้ พอจับเงื่อนจับปมได้ มันจะก้าวเดินต่อเข้าไป

ก้าวเดินต่อเข้าไป ก็เป็นวิปัสสนาต่อเข้าไป... ต่อเข้าไป... จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นอริยสัจ แต่ถ้าเราสร้างภาพลวงขึ้นมา เราพิจารณาไป แล้วมันปล่อยวาง เราเข้าใจของเรา ความเข้าใจกับความจริงมันคนละอัน ความจริงมันเป็นความจริง ความจริงก็เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า ความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าเพราะมันเห็นไง จับต้องได้ เห็นว่าหลุดออกไปเป็นแขนงๆ ออกไป นี่เวลากิเลสมันตาย มันตายอย่างไร เห็นไหมว่าฆ่ากิเลส ลูกหลานกิเลสเข้ามาเป็นชั้น เป็นชั้นขึ้นมา กิเลสตายเกลื่อน

ศพของกิเลสอยู่ข้างหน้า มันเห็นนะ เห็นว่าสิ่งนั้นหลุดออกไป สิ่งนั้นหลุดออกไป เห็นศพของกิเลสข้างหน้าเป็นชั้นๆ เข้ามา มันถึงว่าจับต้องได้เพราะเรารู้เราเห็น ถ้าเรารู้เราเห็น กิเลสตายต่อหน้าเข้าไป ทำไมมันจะไม่รู้ว่าตัวเองขาดล่ะ แต่นี่มันไม่เห็นศพของกิเลสไง

เห็นหรือไม่เห็นศพ เห็นแต่ความว่าง เห็นแต่ความพอใจของใจเข้าไป ใจเห็นว่าใจว่าง ใจว่าง อันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยัน ทั้งๆ ที่ไม่เห็นศพเลย ถ้าเฉลียวใจ เฉลียวใจคิดถึง ข้างล่างนะ คิดถึงตรงที่ว่าวิปัสสนาเข้ามาจากกรงของเสือ จับตัวเสือนั้น มันจะเทียบกับตรงนั้น

พอเทียบกับตรงนั้นขึ้นมา มันต้องเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้นอันนี้ไม่จริง พอสิ่งนี้ไม่จริง ใจเริ่มจะหาเงื่อนปมให้ได้ ถ้าใจเริ่มหาเงื่อนปม ถ้าใจบอกว่าสิ่งนั้นไม่จริง สิ่งที่เราเห็นอยู่นี่ ปล่อยวาง เข้าใจแล้วปล่อยว่าง ว่างนี้ไม่ใช่ พอไม่ใช่จะเรียกออกหาเงื่อนหาปม ถ้าจับเงื่อนจับปมได้

ออกหาเงื่อนหาปม ถึงว่าเพราะมีฐาน ฐานคือใจนี้เริ่มเบี่ยงเบนเข้ามา ถ้าไม่มีฐาน เอาอะไรไปจับ? ต้องเอาฐาน ฐานคือว่ากรรมฐานไง ฐานคืองานของใจ คือจุดยืนของใจ จุดยืนของจิตที่สงบนี้ จิตที่สงบนี้เป็นสัมมาสมาธิ ความที่สัมมาสมาธิ งานนั้นที่ทำอยู่นี้เป็นงาน แต่งานไม่ชอบ

งานชอบคืองานในการรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของเรา รื้อสัตว์ขนสัตว์ข้างใน เบี่ยงเข้ามา หักเข้ามา หักอาการของใจที่ส่งออกโดยธรรมชาติเข้ามา เป็นทุกขั้นตอนเข้าไป ทุกชั้นทุกขั้นตอนจะเบี่ยงสิ่งนี้เข้ามา เบี่ยงอาการของใจเข้ามา หาตัวตนที่ว่าเป้าหมาย นี่อาการของใจจับใจ

อาการของใจจับใจ จับเข้ามาภายใน พอจับเข้ามา พอจับต้องได้ เป็นการยืนยันกันว่าได้เงื่อนได้ปมหนึ่ง ๑.ได้เงื่อนได้ปมด้วย ๒.จับต้องได้ ถึงว่า อ๋อ... คราวนี้ไม่ผิด คราวนี้จะเดินเข้าไปถึงจุดตรงนั้นได้ เพราะเราจับต้องสิ่งนั้นได้ ปัญญาถึงจะเกิดขึ้น พอปัญญาเกิดขึ้นวิปัสสนาเกิดขึ้น เกิดขึ้นจับสิ่งนี้ มันจะสลดสังเวชนะ โอ้...ไปจับพลัดจับผลูอยู่กับความว่างนั้นอยู่นาน ไปจับจับพลัดจับผลูไง ไปเคลิบเคลิ้มอยู่กับความหลงใหลได้ปลื้มของใจ

ใจนี้หลงใหลได้ปลื้ม นี่วิปัสสนาผู้ที่บำเพ็ญเพียร ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าใจแง่ถูกและแง่ผิด แง่หนึ่งเป็นความผิดพลาดของใจ แง่หนึ่งจะเป็นความถูกของใจ ถึงว่าถูกก็เป็นครู ผิดก็เป็นครูเข้าไปเรื่อย ต้องมีสิ่งนั้นเข้าไป ไม่มีว่าจะทีเดียวสำเร็จ “แก่นของกิเลส” ไฟนะ กิเลสคือไฟ ทำความเร่าร้อนมาเป็นเครื่องยืนยันกับใจทุกๆ ดวง

ใจทุกๆ ดวงเร่าร้อนเพราะกิเลสสิ่งนี้เผาลนมาตลอด แล้วสิ่งนี้เผาลน ไม่ได้เผาลนธรรมดานะ แก่นของมันติดมากับเนื้อของใจ การหาเงื่อนปมนี้ก็เป็นงานอันแสนยาก งานอันแสนยากนะการหาเงื่อนปม แล้วจะวิปัสสนาไป ความวิปัสสนาไป การต่อสู้ไป นี่วิปัสสนา มันจะมีสิ่งที่เป้าเป็นลวง ความเห็นผิดเกิดขึ้นมาจากใจตลอด เกิดขึ้นมาจากใจ จะสร้างขึ้นมาจากใจ นั้นเป็นการที่ว่า เราต้องกลับมาทำความสงบ ให้พลังงานของเรามีอำนาจเหนืออยู่ สิ่งที่กดสิ่งนั้นได้

ถ้ากดสิ่งนั้นได้ ปัญญาเริ่มออกก้าวเดินได้ อันนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้าปัญญามันก้าวเดินออกไม่ได้ เป็นสัญญาทั้งหมด สัญญาความจำได้หมายรู้ ความจำได้หมายรู้นี้เป็นสิ่งที่ว่าเป็นอาวุธที่หยาบเกินไป อาวุธนี้เข้ามาชำระสิ่งนี้ไม่ได้ อาวุธอย่างนี้เอาไว้ใช้กับเด็กน้อยข้างนอก เด็กน้อยเห็นไหม เด็กน้อยนี้สอนเขา ให้เขาท่องจำ ท่องตามเราได้ สัญญานี้คือการท่องจำเข้ามา เป็นการซับเข้ามาของใจ

ใจนี้รับรู้มาจากข้างนอก แล้วซับเข้ามาเป็นสัญญา เป็นสัญญาเข้ามานี้กิเลสหัวเราะเยาะนะ กิเลสว่าจะเอาอาวุธอย่างนี้หรือมาชำระ จะเอาความเห็นอย่างนี้หรือจะเข้ามาชำระกิเลสของเราเอง นี่กิเลสหัวเราะเยาะ แล้วเราก็ต้องหลงตามไป หลงตามกิเลสอีก กิเลสคือไฟ! ไฟเผาลนในการประพฤติปฏิบัติ ร้อนนัก ในการต่อสู้นี้ เราใช้พลังงานเข้าไปมหาศาล เข้าไปแล้ว หน้ามืดตามัว ยังไปหลงใหลสิ่งที่มันเป็นไฟภายใน ทำให้เราวิปัสสนาไป ใช้พลังงานไปโดยเหนื่อยเปล่า

เหนื่อยเปล่า วิปัสสนาไปแล้ว มันไม่ได้ผลขึ้นมาไง ความที่ไม่ได้ผลภายใน พอความไม่ได้ผล ท้อใจ ท้อนะ ทั้งท้อ ทั้งคอตกอยู่อย่างนั้น แต่สู้! ถ้าเรามีวาสนาบารมี ไม่มีวาสนาบารมีทำไมเราก้าวเดินมาได้ขนาดนั้น การก้าวเดินได้ขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนนี้ อำนาจวาสนาของตัวเองสูงมาก

ในชีวิตนี้ สิ่งใดๆ ในโลกนี้อะไรมีคุณค่า?

ในชีวิตนี้นะ แต่ถ้าเราวิปัสสนาจนเห็น ในโลกนี้... อย่าว่าแต่โลกนี้ ในวัฏฏะนี้ ตรงไหนบ้างที่มีคุณค่า? ในวัฏฏะที่เราเกิดตายเกิดตายมีภพชาติไหนที่มีคุณค่า สิ่งใดๆ ที่เราทำกันมานั้นเป็นวัตถุ เป็นสิ่งของที่เราไปทำงานไว้ประจำโลกเท่านั้น คุณงามความดีจากการประพฤติปฏิบัติ การทำสิ่งนั้นต่างหากมันสะสมมาลงที่หัวใจ

สิ่งที่เราสะสมไว้กับโลกเขานั้นล่ะ ทำคุณงามความดี เราสร้างขึ้นมา เราสร้างสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ ทำคุณงามความดีสละออกไป หรือเราสละสิ่งของ เราช่วยเหลือใครไว้ สิ่งนั้นมันจะตกตะกอนมาเป็นความดี ความงามของใจนี้ ใจนี้จะมีคุณงามความดีของใจสะสมขึ้นมา สะสมขึ้นมา จนขึ้นมามีศรัทธาความเพียร มีความวิริยะอุตสาหะเพื่อจะให้พ้นออกไปจากกรงเล็บของกิเลสไง ให้พ้นออกไปจากวัฏฏะ

วัฏฏะ ๓ นี้ครอบงำใจของเราอยู่ วัฏฏะนี้ครอบงำใจ ใจนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้เท่านั้น จะหักวัฏฏะออกไปได้ สิ่งที่วัฏฏะนั้นเป็นของที่คงที่คงเดิมอยู่ จะหักได้มันต้องหักที่ใจของเรา เพราะเชื้อคือไฟ เชื้อของกิเลสนี้คือไฟเผาลนใจ เผาลนมีพลังงานขับเคลื่อนให้หมุนเวียนอยู่ในใจนี้ ถ้าเราทำลายกิเลส ทำลายไฟในใจนี้ดับหมด ถ้าเราทำลายไฟในใจดวงนี้ของเราดับหมด มันไม่มีพลังงานขับเคลื่อน มันจะขับเคลื่อนไปในวัฏฏะนี้ไปที่ไหน? มันไม่มีทางขับเคลื่อน มันก็ร่มเย็นในหัวใจนั้น

ถ้าเราชำระไฟออกจากใจทั้งหมด มันมีธาตุรู้อยู่เห็นไหม ที่ว่าเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนั้นรับรู้อยู่ สิ่งนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ติโลกเลย โลกนี้เป็นโลกอยู่อย่างนั้น โลกนี้เขามีมาอยู่โดยดั้งเดิม ใจที่สงบออกไป ดับไฟจากกิเลสแล้ว จะเห็นโลกนี้เป็นโลกนี้ โลกเป็นของเขาเก้อๆ เขินๆ เป็นอย่างนั้น เราต่างหากไปหลงโลกเขา ถ้าเราชำระไฟจากกิเลสออกไปจากใจได้ทั้งหมด จะมีความสุขมาก จากสิ่งที่ว่าเป็นโทษๆ อยู่ สิ่งที่กดถ่วงหัวใจอยู่ ไม่สามารถเข้ามากดถ่วงหัวใจได้เลยแม้แต่เล็กน้อย ไม่มีทางเลยเพราะเป็นเรื่องอยู่ข้างนอก

เป็นเรื่องอยู่ข้างนอกดูสิ รูปก็ยังอยู่ข้างนอก ต้องกระทบตาเข้ามาใช่ไหม? กระทบตาแล้ววิญญาณรับรู้ขึ้นมา ถึงส่งเข้าไปที่จิต แล้วไฟที่อยู่ที่หัวใจของเรานี่ เราได้ชำระล้างออกไป เราดับไฟในใจของเราหมดแล้ว ถ้าดับไฟในใจของเราหมดแล้ว สิ่งใดจะไปกระทบกับสิ่งนั้นล่ะ? แม้แต่ว่ารูปกระทบตายังต้องมีวิญญาณรับรู้

วิญญาณนี้ก็เป็นอาการของใจ แล้วสิ่งนั้นถึงไปตกผลึก ตกตะกอนในหัวใจนั้น หัวใจนั้นถึงจะมีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา รู้ร้อนรู้หนาวไปกับสิ่งต่างๆ ของโลกเขา นี่โลกนั้นอยู่โดยเก้อๆ เขินๆ ไง แม้แต่วัฏวนก็เป็นวัฏวนอยู่โดยเก้อๆ เขินๆ ของวัฏวนนั้น ไม่สามารถจะไปทำให้มีอำนาจเหนือกับดวงใจที่ว่าดับไฟของกิเลสในหัวใจได้ทั้งหมด นี่กิเลสที่ว่าเป็นไฟในหัวใจนั้นดับไปแล้ว

พอดับไปแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นโทษ ตาของผู้ที่ประเสริฐ ตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตาของผู้ที่อัครสาวกต่างๆ ที่หลุดพ้นออกไปแล้ว ถึงอยู่กับโลก มองโลกแล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีความรับรู้ไปกับเขา มันเป็นการสื่อสาร มันเป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นขันธ์ที่สืบต่อ ที่สืบเพื่อความหมาย ความรู้กันเท่านั้น แต่มันไม่สามารถเข้าไปถึงดวงใจนั้นได้ เวทนาถึงไม่เข้าถึงดวงใจของใจที่บริสุทธิ์นั้นได้ เวทนาในจิตไม่มี มีแต่เวทนาของกาย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาป่วยเห็นไหม หมอชีวกไปรักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายครั้ง อยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกว่าไว้ หมอชีวกรักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักษาเพราะอะไร เพราะร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายนี้ธรรมดาต้องแปรสภาพไป

นี้เป็นเศษส่วน นี้เป็นชีวิตที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี้มีร่างกาย แต่หัวใจในร่างกายนั้น ได้เป็นใจที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ไม่รับรู้ เวทนาเข้าถึงนั้นไม่ได้ แต่ต้องรักษาร่างกายนั้นไว้เพื่อประโยชน์ของโลกเขาไง เพื่อประโยชน์ต้องอาศัยร่างกาย ร่างกายกับขันธ์ ๕ ที่สืบต่อกับโลกนี้ เป็นเครื่องสื่อ เครื่องสื่อนั้นไม่สามารถทำลายตัวตนในหัวใจดวงนั้น ให้กระเพื่อมไปกับใจดวงนั้นได้เลย

ถึงว่าสิ่งต่างๆ ที่เราว่าเป็นโทษๆ เริ่มต้นขึ้นมา ใจเราไปเกาะเกี่ยวกับโลกเขาทั้งหมด เพราะเราว่าโลกนี้เป็นไฟ ถ้าโลกนี้เป็นไฟ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าโลกนี้มันเป็นเรื่องเก่าแก่ของโลกเขา มันเป็นวัฏวน วัฏฏะนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมนี้ก็มีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วใจนั้นเข้าไปตรัสรู้ธรรม ใจนั้นดับไฟกิเลสออกจากใจทั้งหมด พอออกจากใจทั้งหมดแล้วถึงสงบเย็น สงบเย็นแล้วไม่เห็นสิ่งต่างๆ นี้เป็นโทษล่ะ ถึงว่าความจริงแล้วไม่เป็นโทษ ความจริงเพราะเราโง่ต่างหาก ความจริงเพราะเราไม่เข้าใจ

ถ้าเราศึกษาขึ้นมา เราศึกษาเห็นไหม ศึกษาในพระไตรปิฎก ศึกษาตามตำรับตำราขึ้นมา เราเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เข้าใจด้วยสุตมยปัญญา “สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา”

จินตมยปัญญานี้เป็นระหว่างการก้าวเดินของใจที่ก้าวเดินอยู่นี้ เราทำความสงบกันอยู่นี่ นี่จินตมยปัญญา ถ้าความสงบขึ้นมาอยู่ ถ้าจับเงื่อนปมอยู่ได้ จินตมยปัญญาจับเงื่อนปมได้ แล้วภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากการแก้ไขเงื่อนปมนั้น แก้ไขเงื่อนปมนั้นด้วยภาวนามยปัญญา เห็นไหมปัญญาเกิดขึ้นมา นี่เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่ว่าเป็นของสกปรก สิ่งที่ว่าโลกนี้ร้อนๆ ร้อนนี้เย็นได้ ร้อนนี้ไฟนี้เกิดขึ้นก็ดับได้

ไฟนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับใจ อวิชชานี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิด เพราะอวิชชานี้มากับหัวใจดวงนั้น อวิชชาคือกิเลส คือพญามาร เกิดขึ้นมาพร้อมกับใจ ที่เราเกิดขึ้นมาปฏิสนธิวิญญาณ ในท้องของมารดา จนเกิดขึ้นมา เป็นตัวตนขึ้นมาเป็นเรา เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นผู้ที่ว่าอยู่ในโลกเขาแล้ว ยังเป็นกัลยาณปุถุชน ยังคิดออกประพฤติปฏิบัติ ยังออกบวชเป็นภิกษุ ออกบวชโดยสมมุติสงฆ์ เพื่อจะจำกัดให้ขอบเขตของใจให้เขามาอยู่ในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

ความที่เราละเอียดเข้าไป... ละเอียดเข้าไป... สิ่งที่เราทำละเอียดเข้าไป มันจะเห็นจริงตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เห็นแล้ว เห็นแล้วก็มีอะไรล่ะ? มีความสุขอย่างมหาศาล! เพราะมันเป็นความสงบจริงของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นสงบจริง ใจดวงนั้นไม่มีไฟที่เผา]นจริง ใจดวงนั้นจะมีความสุข แล้วมันอยู่ที่ไหน? มันก็ต้องอยู่ในหัวใจของเราที่พลิกไง

จากใจของเราที่มีแต่อวิชชาอยู่นี้ ใจของเราที่มืดบอดอยู่นี้ เราประพฤติปฏิบัติไป มันก็อยู่ที่ใจของเรา ใจของเรานี้ถึงจะพลิกขึ้นมาเป็นใจที่บริสุทธิ์ได้ เพราะใจเท่านั้นเป็นภาชนะที่เข้าไปสัมผัสธรรม ธรรมในพระไตรปิฎก ในตู้พระไตรปิฎกใครเป็นคนไปอ่านไปศึกษา? ก็ต้องคนมีชีวิตเข้าไปอ่านไปศึกษา ศึกษาเข้ามาที่ไหน? ศึกษาเข้ามาที่หัวใจ หัวใจเป็นผู้ที่รับรู้ พอหัวใจรับรู้ หัวใจก็เข้าใจเข้าไป อันนี้สุตมยปัญญา

ภาวนามยปัญญานี้ต้องประพฤติปฏิบัติ เอาใจแก้ใจ เอาอาการของใจแก้ใจไม่ได้ อาการของใจนั้นทำให้ใจฟุ้งซ่าน นี่สุตมยปัญญา เรียนมาศึกษามาว่าตัวเองรู้ๆ รู้ก็ยัง.. “จะจริงอย่างนั้นไหมหนอ?” แค่ว่าความสงบจริงของใจทำได้หรือไม่ได้ จิตนี้จะแก้ไฟ ดับไฟได้จริงหรือไม่ได้ อย่างที่ว่าเราไม่มีอำนาจวาสนา นี้ก็เครื่องท้อถอย แล้วถ้าไม่เข้าใจ สงสัย อั้นนั้นก็ไม่จริง

ความไม่จริงของเราเองต่างหาก ไปปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ ตามหลักความเป็นจริง ถ้าใจของเราจริงขึ้นมา เราสามารถเข้าถึงตรงนั้นได้ เพราะใจเท่านั้น ใจถึงว่าถ้ามีหัวใจอยู่ในร่างกายทุกๆ ดวง ใจนี้เป็นเครื่องสัมผัสธรรม ใจนี้เป็นภาชนะใส่พระไตรปิฎก

ถ้าพระไตรปิฎกกับใจดวงนั้นประสานเป็นเนื้อเดียวกัน พระไตรปิฎกนั้นจะไม่เป็นปัญหาขึ้นมาอีกเลย ใจดวงนั้นจะเข้าใจสัจจะความเป็นจริง เหนือพระไตรปิฎกนั้นอีกมากมาย เพราะความเข้าใจตามสัจจะความจริง มันจะเห็นสิ่งต่างๆ เป็นความน่าสลดสังเวชไปหมด มันจะรู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเหมือนกับไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้น แล้วในพระไตรปิฎกไม่มี

ในพระไตรปิฎกสอนไว้เป็นพระ หรือบุคคลที่ว่า... สอนขึ้นมาเป็นสิ่งที่ว่าเจาะจงเท่านั้นเอง แต่ในเมื่อโลกกว้างขึ้นไป โลกกว้างขวางขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงของโลกไป เราเห็นขึ้นมา ถ้าใจนั้นเป็นธรรมเห็นขึ้นมา อันนั้นก็เป็นธรรมขึ้นมา แล้วในพระไตรปิฎกไม่มี พระไตรปิฎกถึงว่ามีมหาปเทส ๔ ไว้ไง สิ่งที่ไม่ได้ตรัสไว้ ถ้าเทียบเคียงกันแล้วเหมือนเข้ากันได้ ให้ถือว่าอันนั้นไม่อนุญาต

สิ่งใดถ้าอนุญาต แต่เกิดขึ้นจากภายหลัง โลกนี้เกิดขึ้นทีหลัง สิ่งนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก เทียบเคียงแล้วเหมือนกับสิ่งที่อนุญาต สิ่งนั้นให้ถือว่าอนุญาต มหาปเทส ๔ ก็ได้วางไว้ว่า ต่อไปโลกจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ โลกเคลื่อนไปเห็นไหม โลกเคลื่อนไปเห็นไหม (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)